ฮิตติดเทรนด์! Slow Bar สไตล์การชงกาแฟเน้นพิถีพิถัน ช้าช้าแต่มีเสน่ห์

Image
slow bar

Key Takeaway

  • Slow Bar คือการชงกาแฟที่เน้นความพิถีพิถัน ให้คนรักกาแฟได้ดื่มด่ำไปกับบรรยากาศ และได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกับคนรักกาแฟคนอื่นด้วย ต่างจาก Speed Bar ที่เน้นความรวดเร็วของการชง ไม่ได้ให้ความสำคัญกับบรรยากาศรอบข้าง 
  • การชงกาแฟแบบ Slow Bar ที่ได้รับความนิยมมี Aeropress, French Press, Moka Pot, Drip Coffee, Syphon และแบบ Cold Brew 
  • ใครอยากชงเองที่บ้าน แค่เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบดกาแฟ เครื่องชงกาแฟ กาต้มน้ำ เครื่องชั่งดิจิทัล และเมล็ดกาแฟ
  • อย่าลืมมาเลือกซื้ออุปกรณ์ชงกาแฟคุณภาพดีที่ Peaberry Thai กัน มั่นใจได้ว่าอุปกรณ์แข็งแรงและทนทาน ผลิตจากวัสดุชั้นดี ให้ทุกการชงกาแฟตามคอนเซปต์ Slow Bar ราบรื่นมากที่สุด

เชื่อว่าคอกาแฟหลายคนชอบโมเมนต์ที่ได้นั่งชิลจิบกาแฟแบบไม่ต้องรีบร้อน สามารถใช้ชีวิตแบบ Slow Life ดื่มด่ำไปกับรสชาติของกาแฟได้อย่างเต็มที่ พร้อมบรรยากาศที่ผ่อนคลายชวนให้ประทับใจ เรียกได้ว่าเป็นโมเมนต์ที่น่าจดจำมากทีเดียว บทความนี้เลยจะพาไปรู้จักกับเทคนิคการชงกาแฟแบบ Slow Bar ว่าคืออะไร อยากเปิดร้านกาแฟแบบ Slow Bar ต้องเตรียมตัวอย่างไร ไปดูกัน

การชงกาแฟแบบ Slow Bar คืออะไร

การชงกาแฟแบบ Slow Bar คือการค่อยๆ ชงกาแฟ เน้นความพิถีพิถันในทุกขั้นตอน  โดยจะให้ความสำคัญกับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เพื่อรังสรรกาแฟแต่ละแก้วให้ออกมาอย่างมีความหมาย ไม่ได้เน้นแค่การดื่มด่ำกับรสชาติของกาแฟเท่านั้น ยังเน้นให้ดื่มด่ำกับกรรมวิธีแต่ละขั้นตอนด้วย โดยบาริสต้าจะชงให้เราแบบแก้วต่อแก้วโดยไม่พึ่งเครื่องทำเอสเปรสโซ่อัตโนมัติเลย แต่จะชงด้วย Portable Maker หรือ Hand Maker แทน

หากโอมากาเสะคือศิลปะแห่งการปรุงอาหารของญี่ปุ่น การชงกาแฟแบบ Slow Barก็คือศิลปะแห่งการชงกาแฟ ที่บาริสต้าได้โชว์การแสดงให้เหล่าคอกาแฟได้ชมการชงอย่างใกล้ชิด ได้ดื่มด่ำทั้งรสชาติและบรรยากาศตรงหน้า ทั้งยังได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้สึกและประสบการณ์กับคนอื่นด้วย จนเกิดเป็นคอมมูเล็กๆ ที่รวมตัวให้คนรักกาแฟมาอยู่ร่วมกัน 

 

การชงกาแฟแบบ Slow Bar กับ Speed Bar ต่างกันอย่างไร

 

การชงกาแฟแบบ Slow Bar กับ Speed Bar ต่างกันอย่างไร 

อย่างที่รู้กันว่า Slow Bar เป็นการชงกาแฟแบบช้าๆ เน้นความพิถีพิถัน เริ่มประณีตตั้งแต่การเลือกวัตถุดิบ การบดเมล็ดกาแฟ ไปจนถึงขั้นตอนการชง ซึ่งอาจจะใช้เวลาในการชงเยอะกว่าวิธีอื่นๆ พอสมควร ส่วนใหญ่มักจะใช้ชงกับเมนูกาแฟหลายประเภท เช่น กาแฟดำ กาแฟสกัดเย็น หรือกาแฟเอสเปรสโซ 

การชงแบบ Speed Bar ซึ่งเราจะเห็นได้ในร้านกาแฟทั่วไป เน้นความรวดเร็ว วิธีที่ใช้เครื่องทำเอสเปรสโซ่เพื่อให้การชงกาแฟเร็วขึ้น รวมๆ ขั้นตอนการทำทั้งหมดไม่เกิน 5 นาทีต่อแก้ว โดยเมนูส่วนใหญ่จะเป็นอเมริกาโน เอสเปรสโซ คาปูชิโน หรือลาเต้ เมนูกาแฟที่หลายๆ คนรู้จักกันดี

 

รวม 6 ประเภทการชงกาแฟแบบ Slow Bar

 

รวม 6 ประเภทการชงกาแฟแบบ Slow Bar

การชงกาแฟแบบ Slow Bar มาใน Concept ช้าๆ แต่มีเสน่ห์ มาดู 6 ประเภทการชงกาแฟแบบ Slow Bar กันว่ามีแบบไหนบ้าง ดังนี้

1. Aeropress

การชงด้วยแอโรเพรส (Aeropress) เน้นใช้หลักการแช่ (Immersion) ด้วยน้ำร้อน ซึ่งเป็นวิธีที่คล้ายๆกันกับแบบ French Press ส่วนใหญ่จะใช้เวลาประมาณ 3 นาทีในการแช่ จากนั้นก็ให้กดกระบอกสูบด้วยมือ เพื่อสร้างแรงดันอากาศสกัดเอากาแฟออกมาในขั้นตอนสุดท้าย จุดเด่นของการชงวิธีนี้ คือการใช้แรงดันเพื่อเร่งการสกัดกาแฟ ทำให้มีรสชาติที่เข้มข้นและสามารถสัมผัสกลิ่นหอมของกาแฟได้ดี

2. French Press

การชงด้วยเครื่องเฟรนช์เพรส (French Press) เน้นใช้หลักการแช่ (Immersion) ด้วยน้ำร้อนเช่นเดียวกัน ส่วนใหญ่จะใช้เวลาประมาณ 3-4 นาทีในการแช่ จากนั้นใช้แรงกดอากาศด้วยก้านสูบแบบกดมือ เพื่อสกัดเอากาแฟออกมาให้เข้มข้นที่สุด แต่วิธีนี้อาจจะเหลือกากกาแฟทิ้งเอาไว้เล็กน้อย 

3. Moka Pot

การชงกาแฟด้วยหม้อโมคาพ็อต (Moka Pot) เน้นใช้หลักการของแรงดันพลังงานไอน้ำ ซึ่งจะมีลักษณะการชงคล้ายคลึงกับการชงแบบเอสเปรสโซ แต่จะทำผ่านวิธีการต้มด้วยหม้อโดยเฉพาะ ส่วนใหญ่จะใช้เวลาประมาณไม่เกิน 5 นาที กาแฟที่ได้จะเป็นเอสเปรสโซช็อตที่รสชาติเข้มข้นกำลังดีและมีกลิ่นหอม เหมาะใช้เป็นเบสเพื่อทำเมนูกาแฟอื่นๆ เช่น คาปูชิโนหรือลาเต้

4. Drip Coffee

การชงกาแฟดริป (Drip Coffee) เน้นใช้หลักการแบบหยด (Dripping) ซึ่งพบได้บ่อยมากตามคาเฟ่หรือร้านกาแฟแบบ Slow Bar เพราะเป็นวิธีการชงที่มีเสน่ห์และคลาสสิก จึงได้รับความนิยมสูงในหมู่คนรักกาแฟ การชงด้วยวิธีนี้ส่วนใหญ่จะใช้เวลาประมาณ 3-10 นาที

จุดเด่นของวิธีการชงกาแฟแบบนี้ คือการบดกาแฟแล้วนำกาแฟไปกรองผ่านน้ำร้อน ซึ่งจะมีตัวกรองกระดาษรองอยู่ แค่นี้ก็จะได้กาแฟที่มีกลิ่นและรสชาติที่มีเอกลักษณ์ ที่สำคัญรสชาติและกลิ่นที่ได้จะแตกต่างกันไปตามเมล็ดกาแฟที่เลือกใช้ด้วย

5. Syphon

การชงกาแฟแบบไซฟ่อน (Syphon) จะเน้นใช้หลักการสุญญากาศ (Vacuum Brew) โดยมีอุปกรณ์คล้ายกันกับหลอดทดลองวิทยาศาสตร์ เป็นโหลแก้ว 2 ใบ เชื่อมต่อด้วยท่อไซฟอนที่ปล่อยให้น้ำไหลผ่าน โดยไอน้ำจะระเหยออกมาจึงทำให้แรงดันนั้นดันกาแฟและได้กาแฟที่สกัดออกมาในที่สุด ส่วนใหญ่จะใช้เวลาประมาณ 3-5 นาทีในการสกัดให้ได้กาแฟดำรสชาติเข้มข้น เป็นวิธีการชงกาแฟที่ต้องใช้ทักษะและความรู้ระดับหนึ่งจากบาริสต้าด้วย

6. Cold Brew

การชงกาแฟสกัดเย็น (Cold Brew) จะเน้นใช้หลักการแช่ (Immersion) โดยการนำผงกาแฟที่บดแล้ว นำน้ำเย็นมาแช่ทิ้งไว้เป็นเวลาประมาณ 8-24 ชั่วโมงโดยเฉลี่ย จากนั้นให้กรองกาแฟออก แค่นี้ก็จะได้กาแฟดำที่มีความเข้มข้นสูงแล้ว

 

อุปกรณ์สำหรับการชงกาแฟแบบ Slow Bar

 

อุปกรณ์สำหรับการชงกาแฟแบบ Slow Bar

สำหรับใครที่อยากชงกาแฟแบบ Slow Bar ใช้ชีวิตแบบ Slow Life ที่บ้าน สามารถซื้ออุปกรณ์มาชงเองได้ โดยอุปกรณ์ในการชงกาแฟแบบ Slow Bar มีดังนี้

เครื่องบดกาแฟ (Coffee Grinder)

เครื่องบดกาแฟ จำเป็นมากสำหรับการชงกาแฟแบบ Slow Bar ควรเลือกเครื่องบดกาแฟแบบกะทัดรัดและใช้งานง่าย และเลือกที่มีเฟืองบด (Burr) ที่ทำจากวัสดุแข็งแรง ทนทาน เพื่อให้เมล็ดกาแฟที่นำมาบดไม่เสียน้ำมันหรือรสชาติระหว่างบด ทำให้รสชาติกาแฟที่ออกมามีความหอมกรุ่น เป็นเอกลักษณ์

อุปกรณ์ชงกาแฟ (Coffee Maker)

อย่าลืมเลือกเครื่องชงกาแฟที่เหมาะสมกับความต้องการ โดยควรเลือกอุปกรณ์ที่ทนทาน แข็งแรง ทำจากวัสดุที่แข็งแรง เหมาะกับการชงแบบ Slow Bar และที่สำคัญควรเลือกยี่ห้อที่มีชื่อเสียงและคุณภาพ เพื่อให้มั่นใจว่าจะได้รสชาติของกาแฟที่ดีและกลิ่นหอม

กาต้มน้ำ (Kettle)

สำหรับการเลือกกาต้มน้ำควรเลือกให้เหมาะกับการชงกาแฟแบบ Slow Bar โดยเฉพาะ เพื่อให้ตอบโจทย์การใช้งานมากที่สุด โดยควรเลือกอุปกรณ์ที่ใช้วัสดุแบบไม่นำความร้อนบริเวณที่จับ สามารถหยิบเทและควบคุมทิศทางน้ำได้ดี เพื่อให้สะดวกสบาย เหมาะสมกับ Concept แบบ Slow Bar นั่นเอง

เครื่องชั่งดิจิทัล (Scale)

เครื่องชั่งดิจิทัลเป็นอุปกรณ์ในการชั่งตวงที่จำเป็นมาก เพราะการชงกาแฟจำเป็นต้องพึ่งพาความแม่นยำในการตวงวัตถุดิบ เพื่อให้ได้กาแฟที่มีรสชาติกลมกล่อมมากที่สุด ควรเลือกเครื่องชั่งดิจิทัลแบบที่มีตัวจับเวลาในตัว สามารถรับน้ำหนักได้ตามาตรฐานและเสถียร 

เมล็ดกาแฟ (Coffee Beans)

สุดท้ายคือวัตถุดิบที่ขาดไม่ได้เลย เพราะหากขาดสิ่งนี้ไปการชงกาแฟแบบ Slow Bar ก็ไม่ Perfect อีกต่อไป อย่าลืมเลือกเมล็ดกาแฟคั่วที่มีคุณภาพและเลือกยี่ห้อที่มีตัวเลือกหลากหลาย เพราะความชอบของแต่ละคนแตกต่างกัน ใครชอบรสชาติแบบไหนก็เลือกได้ตามความชอบ เพราะจุดเด่นของการชงกาแฟแบบ Slow Bar คือเราสามารถเลือกเมล็ดกาแฟเองได้เลย 

สรุป

การชงกาแฟแบบ Slow Bar เน้นความพิถีพิถันเพื่อดื่มด่ำไปกับแต่ละขั้นตอนการชง เพราะ Slow Bar คือศิลปะแห่งการชงกาแฟที่ให้เหล่าคอกาแฟดื่มด่ำไปกับบรรยากาศและพูดคุยแลกเปลี่ยนกับคนรักกาแฟเหมือนกัน ต่างจาก Speed Bar ที่เน้นความรวดเร็ว ไม่ได้ให้ความสำคัญกับบรรยากาศรอบข้าง 

การชงกาแฟแบบ Slow Bar มีทั้งแบบ Aeropress, French Press, Moka Pot, Drip Coffee, Syphon และแบบ Cold Brew ใครอยากชงเองที่บ้าน ก็เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบดกาแฟ เครื่องชงกาแฟ กาต้มน้ำ เครื่องชั่งดิจิทัล และเมล็ดกาแฟ

มาเริ่มต้นชงกาแฟที่บ้านแบบสไตล์ Slow Bar ด้วยอุปกรณ์ชงกาแฟคุณภาพจาก Peaberry Thai ที่ผลิตจากวัสดุชั้นดี แข็งแรงและทนทาน ให้ทุกขั้นตอนการชงกาแฟราบรื่นตามคอนเซปต์ Slow Bar มากที่สุด 

แชร์