ระดับการบดกาแฟมีกี่แบบ บดแบบไหนดี พร้อมวิธีปรับระดับให้ถูกปาก

Image
ระดับการบดกาแฟมีกี่แบบ บดแบบไหนดี พร้อมวิธีปรับระดับให้ถูกปาก

ระดับการบดกาแฟ เป็นปัจจัยสำคัญของการบดเมล็ดกาแฟให้ได้รสชาติที่ดี ซึ่งแต่ระดับเหมาะกับเครื่องบดกาแฟที่แตกต่างกัน จึงควรต้องใช้ให้ถูกต้อง รวมถึงเลือกระดับการบดของเมล็ดกาแฟให้เหมาะกับเครื่องชงกาแฟ เพราะส่งผลต่อรสชาติและความอร่อยของกาแฟได้ บทความนี้จะพามาทำความรู้จักกบระดับการบดกาแฟให้มากขึ้น ว่าคืออะไร มีระดับไหนบ้าง พร้อมข้อมูลอื่นๆ ที่ควรรู้

ระดับการบดกาแฟคืออะไร

ระดับการบดกาแฟ คือตัวแปรสำหรับรสชาติ ความหอม ความเข้มของเครื่องดื่มกาแฟ เพราะการชงกาแฟแต่ละแบบใช้ความละเอียดของผงกาแฟที่ต่างกัน ทำให้แต่การบดกาแฟแต่ละระดับเหมาะกับเครื่องชงที่ต่างกัน เช่น การบดแบบหยาบ เหมาะกับการชงแบบสกัดเย็น (Cold Brew) หรือ การบดแบบปานกลาง เหมาะกับการชงแบบดริป (Pour Over) ซึ่งไม่ว่าจะชงกาแฟแบบไหน ก็ควรบดผงกาแฟให้มีความละเอียดสม่ำเสมอ เพื่อให้ได้รสชาติของกาแฟที่ดีมากยิ่งขึ้น

ระดับการบดกาแฟ สำคัญอย่างไร

ระดับการบดกาแฟก็เป็นตัวแปรสำคัญในการชงกาแฟ เพราะในแต่ระดับของการบดเมล็ดกาแฟ ไม่ว่าจะ บดละเอียด บดปานกลาง หรือบดหยาบ ก็ต้องมีการสกัดรสชาติและคาเฟอีน จากกาแฟด้วยน้ำร้อน สิ่งเหล่านี้จะส่งผลต่อรสชาติ ความหอมของกลิ่นกาแฟ และสัมผัสที่ต่างกัน เช่น กาแฟที่บดละเอียด จะทำให้น้ำซึมผ่านกาแฟได้มาก ทำให้สกัดกาแฟได้เร็วกว่า ได้กาแฟรสชาติเข้มข้น และรสขม ในขณะที่กาแฟที่บดหยาบ จะทำให้น้ำซึมผ่านกาแฟน้อยลง ทำให้ต้องใช้เวลาในการสกัดที่มากกว่า และรสชาติของกาแฟไม่ขมเกินไป

 

ระดับการบดกาแฟ มีทั้งหมดกี่แบบ

ระดับการบดกาแฟ มีทั้งหมดกี่แบบ

สำหรับการบดกาแฟมักจะมีข้อสงสัยอยู่เสมอว่า ควรบดกาแฟระดับไหนดีถึงจะเหมาะสม? หรือหากมีเครื่องบดกาแฟ ก็ควรปรับเครื่องบดกาแฟเป็นเบอร์ไหนดี? ซึ่งระดับการบดกาแฟแต่ละระดับจะต่างกันที่ความละเอียดของเมล็ดกาแฟ เหมาะกับเครื่องชงกาแฟที่ใช้ และเหมาะกับการชงที่แตกต่างกัน ดังนี้

ระดับบดกาแฟแบบหยาบ (Coarse grind)

ระดับบดกาแฟแบบหยาบ (Coarse grind) ลักษณะผงกาแฟจะเป็นเม็ดใหญ่หยาบๆ มีขนาดใกล้เคียงดอกเกลือ หรือเกลือทะเล เหมาะกับเครื่องชงแบบ French Press เพราะกาแฟมีความหยาบและสกัดรสชาติช้า จึงต้องแช่ในน้ำร้อนเป็นเวลานาน ถึงค่อยดันตัวกรองด้านบนเพื่อสกัดกาแฟ และมีแผ่นกรองเพื่อป้องกันไม่ให้ผงกาแฟผสมไปกับน้ำกาแฟด้วย เหมาะกับเมนู กาแฟสกัดเย็น (Cold Brew) ที่จะทำให้ได้รสชาติกาแฟเข้มข้น

ระดับบดกาแฟแบบปานกลาง (Medium grind)

ระดับบดกาแฟแบบปานกลาง (Medium grind) ลักษณะผงกาแฟมีความละเอียดคล้ายเม็ดทราย เหมาะกับการชงกาแฟแบบดริป (Pour Over or Filter Brewers) เพราะเมล็ดกาแฟคั่วบด มีความละเอียดปานกลาง ทำให้น้ำร้อนซึมผ่านได้พอดี โดยใส่น้ำร้อนผ่านกาแฟ และแยกน้ำกาแฟออกจากกากกาแฟด้วยกระดาษกรอง เพื่อสกัดรสชาติ ซึ่งจะได้เป็น กาแฟดริป รสชาตินุ่มหอมกลิ่นกาแฟ นอกจากนี้ เหมาะกับการชงแบบแอโร่เพรส (Aeropress) การชงระหว่างเครื่องชงเอสเพรสโซ่และการชงแบบฟิลเตอร์ โดยการชงกาแฟในน้ำร้อน และใช้มือกดลูกสูบเพื่อดันน้ำกาแฟผ่านตัวกรอง ซึ่งจะได้รสชาติที่เข้มข้น ยังใช้ระดับการบดกาแฟที่ละเอียดขึ้นได้ด้วย และสุดท้ายอย่าง การชงแบบไซฟอน (Syphon Brewer) เป็นการชงโดยใช้ไอน้ำจาก Lower Bowl ให้ระเหยขึ้นไปบน Upper Bowl ที่มีกาแฟใส่อยู่ เมื่อสกัดได้ที่ กาแฟจะไหลผ่านตัวกรองมาที่ Lower Bowl ทำให้ได้กาแฟรสชาติกลมกล่อม หอมกลิ่นกาแฟ และไร้ตะกอนกาแฟ

ระดับบดกาแฟแบบละเอียด (Medium fine grind)

ระดับบดกาแฟแบบละเอียด (Medium fine grind) ผงกาแฟจะมีลักษณะป่น ไม่จับตัวเป็นก้อน มีความละเอียดเหมือนน้ำตาลทรายขาว เหมาะกับเครื่องชงกาแฟแบบโมก้าพอท (Moka Pot) เป็นการชงกาแฟโดยอาศัยแรงดันช่วยในการสกัดกาแฟ ซึ่งช่วยให้สกัดรสชาติที่เข้มข้นและความขมของกาแฟได้อย่างดี หากต้องการความเข้มข้น ก็สามารถเพิ่มระดับการบดของกาแฟให้มีความละเอียดมากขึ้นได้ เหมาะกับการทำเมนูเครื่องดื่มร้อนและเย็น เช่น เอสเพรสโซ่ อเมริกาโน่ คาปูชิโน่ มอคค่า และลาเต้

ระดับบดกาแฟแบบละเอียดมาก (Fine grind)

ระดับบดกาแฟแบบละเอียดมาก (Fine grind) ผงกาแฟที่ได้จะมีความละเอียดมากกว่าน้ำตาลทรายขาวเล็กน้อย แต่ไม่ละเอียดจนเป็นผงแป้ง จึงเหมาะกับเครื่องชากาแฟตามร้านกาแฟ หรือ การชงแบบเอสเพรสโซ (Espresso) เพราะเนื้อกาแฟที่มีความละเอียดมาก ทำให้น้ำซึมผ่านได้ง่าย ทำให้สกัดกาแฟได้รวดเร็ว จึงได้กาแฟสดใหม่ รสชาติกลมกล่อม และมีกลิ่นหอม เหมาะกับการชงเอสเปรสโซ และเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกาแฟเอสเปรสโซ เช่น อเมริกาโน่หรือกาแฟดำ คาปูชิโน่ และมัคคิอาโต้

 

 

วิธีเก็บรักษาผงกาแฟคั่วบด

วิธีเก็บรักษาผงกาแฟคั่วบด

ไม่ว่าจะใช้ระดับการบดของเมล็ดกาแฟในรูปแบบไหน หลังการบดเมล็ดกาแฟ หากยังเหลือผงกาแฟ ก็ควรจัดเก็บให้ถูกวิธี เพื่อคงคุณภาพผงกาแฟ สามารถเก็บรักษาได้ดังนี้

เก็บในภาชนะที่เหมาะสม

ไม่ว่าระดับการบดของเมล็ดกาแฟคั่วบดที่เหลือจะอยู่ในระดับไหนก็ตาม ควรต้องเก็บในภาชนะที่เหมาะสม มีความแน่นหนา เพื่อป้องกันอากาศเข้ามาสัมผัสกับเมล็ดกาแฟคั่วบด และวัสดุของภาชนะควรเป็นโหลแก้ว เพื่อป้องกันเมล็ดกาแฟดูดซับกลิ่นของภาชนะนั้นๆ และทำให้กาแฟเสียรสชาติ เช่น โหลแก้วสุญญากาศ ถุงซิปล็อค และซองสำหรับใส่กาแฟโดยเฉพาะ ที่สำคัญ ควรเช็ดล้างภาชนะให้แห้งก่อนนำกาแฟมาใส่ เพื่อป้องกันไม่ให้กาแฟสัมผัสกับความชื้นด้วยเช่นกัน

เก็บในพื้นที่ที่เหมาะสม

อีกหนึ่งสิ่งสำคัญของการเก็บรักษาผงกาแฟ ทั้งระดับการบดกาแฟแบบหยาบ แบบปานกลาง จนถึงแบบละเอียด ต้องวางในพื้นที่ที่เหมาะสม คือเก็บให้พ้นแสงแดด ความชื้น และอากาศ เพราะ 3 สิ่งนี้ เป็นปัจจัยที่ทำให้เมล็ดกาแฟเสื่อมสภาพ ส่งผลต่อรสชาติของกาแฟได้ ดังนั้นจึงควรวางในที่เหมาะสม เพื่อยืดคุณภาพและรสชาติของกาแฟ

 

วิธีการปรับระดับการบดเมล็ดกาแฟ

วิธีการปรับระดับการบดเมล็ดกาแฟ

เพื่อให้การบดกาแฟออกมาได้เหมาะสมตามระดับ สามารถปรับระดับการบดของเครื่องบดเมล็ดกาแฟ ได้ดังนี้

1. ปรับความละเอียดสำหรับการบดกาแฟ

วิธีแรกของการปรับระดับการบดเมล็ดกาแฟ คือต้องรู้ก่อนว่าระดับการคั่วของเมล็ดกาแฟจะใช้เบอร์บดไม่เหมือนกัน ดังนั้นการปรับระดับการบดกาแฟผ่านเครื่องเอสเพรสโซ่ (Espresso Machine) ควรหมุนเบอร์บดครั้งละ 1-2 เบอร์ เพื่อให้ได้เนื้อกาแฟที่ต้องการ และหากชงกาแฟด้วยเครื่องชากาแฟ ควรปรับความละเอียดของเนื้อกาแฟเป็นเนื้อละเอียดนุ่มมือ และมีความสากมือเล็กน้อย ที่สำคัญ การหมุนปรับเบอร์ต้องบดกาแฟทิ้ง ประมาณ 5 วินาที เพื่อให้ได้เนื้อกาแฟตามเบอร์จริง

2. ลองสกัดกาแฟ

การลองสกัดกาแฟ ทำได้โดยใช้เครื่องชั่งดิจิตอลตวงผงกาแฟบด และจับเวลาในการสกัดจนได้ปริมาณของกาแฟที่ต้องการ เช่นทดลองสกัดกาแฟ Single Shot ใช้ปริมาณผงกาแฟ 10 กรัม สกัดปริมาณน้ำ 0.5 ออนซ์ (15 ml) และใช้ระยะเวลาสกัด 15-20 วินาที หากน้ำกาแฟไหลเร็วกว่า 25 วินาที ให้ปรับเบอร์เครื่องบด หรือ Espresso Machine ให้บดละเอียดขึ้น ครั้งละ 1-2 เบอร์ ก็จะทำให้กาแฟไหลช้าลง ขณะเดียวกัน หากน้ำกาแฟไหลช้าเกิน 30 วินาที ให้ปรับเบอร์เครื่องบด หรือ Espresso Machine ให้บดหยาบขึ้น ครั้งละ 1-2 เบอร์ ก็จะทำให้กาแฟไหลเร็วมากขึ้น แล้วค่อยสกัดกาแฟจนได้ระยะเวลาที่กำหนด

3. ทดลองชงเมนูโปรด

วิธีสุดท้ายของการปรับระดับการบดกาแฟ คือการลองชงเมนูที่ชอบทาน เพื่อชิมรสชาติ และความเข้มข้นของกาแฟว่าตรงตามต้องการหรือไม่ โดยหากชิมแล้ว รสชาติกาแฟเข้มข้นมากเกินไป ก็ปรับระดับการบดกาแฟให้หยาบขึ้น 1 เบอร์ ซึ่งจะใช้เวลาสกัดน้อยลง และหากชิมแล้วรสชาติกาแฟอ่อนมากเกินไป จนไม่ค่อยรู้รสของกาแฟ ก็ปรับระดับการบดกาแฟให้ละเอียดขึ้น 1 เบอร์ เพื่อใช้เวลาสกัดได้นาน และได้รสชาติที่เข้มข้นของกาแฟ

เคล็ดลับสำหรับการปรับระดับการบดเมล็ดกาแฟ

เพื่อให้ระดับการบดเมล็ดกาแฟออกมาเป๊ะยิ่งขึ้น ยังมีเทคนิคที่ควรทำตามดังนี้

  • หมุนปรับระดับการบดกาแฟ ครั้งละ 1-2 เบอร์ เพื่อไม่ผงกาแฟ และรสชาติของกาแฟ เปลี่ยนมากจนเกินไป
  • หลังการปรับเบอร์บดเครื่องชงกาแฟ (Espresso Machine) ทุกครั้ง ควรต้องบดกาแฟเก่าทิ้ง ประมาณ 5 วินาที เพื่อไล่กากกาแฟเก่า เพื่อให้ได้ผงกาแฟตามเบอร์จริง
  • สำหรับการใช้งานเครื่องบดเมล็ดกาแฟแบบอัตโนมัติ ควรปรับความละเอียดของการบดก่อน แล้วคอยตั้งเวลาในการบดกาแฟ
  • เนื่องจากเมล็ดกาแฟแต่ละชนิด จะมีระดับการคั่วที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้น จึงควรใช้เบอร์บดกาแฟให้เหมาะสม เพื่อให้ได้รสชาติของกาแฟที่ดี

สรุป

ระดับการบดกาแฟ คือ สิ่งที่ทำให้รสชาติ ความหอม และความเข้มข้นของกาแฟแตกต่างกันออกไป ซึ่งมีด้วยกันทั้งหมด 4 ระดับ โดยระดับของการบดกาแฟก็จะแตกต่างกันที่ความละเอียดตั้งแต่บดหยาบ จนถึงบดแบบละเอียดมาก ซึ่งระดับการบดของเมล็ดกาแฟและการชงในแต่ละแบบ ก็จะทำให้ได้รสชาติที่แตกต่างกันออกไป จึงควรเลือกการบดให้เหมาะสม เพื่อที่จะได้รสชาติของกาแฟที่ชื่นชอบ

สำหรับคนที่ชอบดื่มกาแฟเป็นประจำ ที่ Peaberry มีเครื่องชงกาแฟและเครื่องบดกาแฟคุณภาพหลายแบบให้ได้เลือก ตั้งแต่ชงกินเองที่บ้าน หรือชงเปิดร้านกาแฟก็มีเช่นกัน อีกทั้งยังมีเมล็ดกาแฟให้เลือก จากหลากหลายสายพันธุ์ กลิ่นหอม รสชาติถูกปาก เพื่อให้ได้กาแฟที่รสชาติดี

แชร์