มัดรวม! 14 วิธีชงกาแฟแต่ละรูปแบบ ชงแบบไหนตอบโจทย์เรามากที่สุด

Image
วิธี ชง กาแฟ

Key Takeaway

  • วิธีการชงกาแฟมีหลายวิธี เช่น การชงกาแฟแบบโบราณ แบบตุรกี แบบเวียดนาม แบบดริป แบบดริปเย็น แบบสกัดเย็น แบบเอสเพรสโซ แบบเฟรนช์เพรส แบบโมก้าพอท แบบไนโตร แบบไซฟอน และแบบเคมแม็กซ์ 
  • แต่ละวิธีมีจุดเด่นที่ต่างกันออกไป ทั้งเรื่องรสชาติ ความหอม หรือความสะดวกในการชง เราสามารถเลือกวิธีการชงได้ตามความต้องการ
  • เพื่อตอบโจทย์ทุกวิธีการชง เลือกเครื่องชงกาแฟ ของ Peaberry Thai ที่ผลิตจากวัสดุชั้นดี ทนทาน แข็งแรง ทั้งยังใช้งานง่าย ทำให้ทุกการชงกาแฟสะดวก รวดเร็ว ได้ดื่มกาแฟรสชาติดี กลมกล่อม และหอมกรุ่น

เมล็ดกาแฟมีหลายพันธุ์ฉันใด วิธีชงกาแฟก็มีหลายวิธีฉันนั้น ใครเบื่อไม่อยากซื้อกาแฟแล้ว! ลองมาชงกาแฟเองกันดีกว่า โดยบทความนี้จะพามาดูวิธีชงกาแฟในแบบต่างๆ ที่ได้รับความนิยม ว่าแต่ละแบบมีความต่างกันอย่างไร ชงออกมาแล้วรสชาติต่างกันมากไหม เพื่อให้เลือกว่าการชงแบบไหนตรงใจเราที่สุด

 

การชงกาแฟแบบโบราณ (Traditional Coffee)

 

1. การชงกาแฟแบบโบราณ (Traditional Coffee)

หลายคนคงคุ้นเคยกันดีกับวิธีการชงกาแฟแบบโบราณ เพราะหาได้ทั่วไปตามตลาดหรือตามรถเข็น จะเป็นการชงแบบใช้ผ้ากรอง โดยมีเหยือกสเตนเลสรองน้ำอีกที จุดเด่นคือราคาถูก หาซื้อง่าย รสชาติอร่อย แต่อาจจะหอมไม่เท่ากาแฟสดตามคาเฟ่ โดยจะมีวิธีการชงดังนี้ 

  1. ตักผงกาแฟใส่ในผ้ากรอง
  2. เทน้ำร้อนลงบนผงกาแฟในผ้ากรอง 
  3. จากนั้นให้ยกผ้ากรองขึ้น-ลงเหนือเหยือกสแตนเลสประมาณ 4-5 รอบ เพื่อให้ได้ความเข้มข้นตามสไตล์กาแฟโบราณ 

 

การชงกาแฟแบบตุรกี (Turkish Coffee)

 

2. การชงกาแฟแบบตุรกี (Turkish Coffee)

การชงกาแฟแบบตุรกี เป็นศิลปะการชงที่เป็นเอกลักษณ์ ด้วยการต้มในหม้อต้มขนาดเล็กและมีด้ามจับเป็นก้านยาว แต่ไม่ค่อยได้รับความนิยมในไทยเท่าไร เพราะต้องใช้เวลาในการทำ อีกทั้งยังต้องพึ่งทักษะและความชำนาญอีกด้วย โดยมีวิธีการชงดังนี้

  1. ตักผงกาแฟใส่หม้อต้มเล็กๆ ที่มีด้ามยาว 
  2. ต้มบนเตาที่มีทรายร้อน หรือบางที่อาจจะต้มบนเตาทั่วไปก็ได้ 
  3. เมื่อกาแฟเริ่มเกิดฟองรอบๆ ขอบหม้อ ให้ยกเทใส่แก้ว  
  4. จากนั้นนำหม้อมาวางบนเตาต่อ โดยวนหม้อบนเตาทรายจนได้กาแฟตามที่ต้องการ

 

การชงกาแฟแบบเวียดนาม (Vietnamese Coffee)

 

3. การชงกาแฟแบบเวียดนาม (Vietnamese Coffee)

การชงกาแฟแบบเวียดนาม ถือว่าเป็นวิธีการชงที่สะดวก รวดเร็ว ใช้อุปกรณ์เพียง 1 อย่างที่เรียกว่า ‘ฟิน’  ก็ได้กาแฟกลิ่นหอม รสชาติดี ที่เป็นเอกลักษณ์แล้ว ซึ่งมีวิธีการชงดังนี้

  1. นำผงกาแฟใส่ในฟินที่มีตะแกรงกรองอยู่ในตัว
  2. จากนั้นให้วางฟินลงบนแก้วที่เตรียมไว้
  3. ค่อยๆ เทน้ำร้อนผ่านผงกาแฟไปเรื่อยๆ
  4. จากนั้นรอให้กาแฟหยดลงบนแก้ว จะได้กาแฟเวียดนามตามต้องการ

 

การชงกาแฟแบบดริป (Drip)

 

4. การชงกาแฟแบบดริป (Drip)

การชงกาแฟแบบแบบดริป ถือเป็นวิธีการชงกาแฟตามร้าน Slow Bar ที่เน้นความพิถีพิถันของการชงกาแฟ ซึ่งได้รับความนิยมมากในหมู่คนรักกาแฟ โดยมีวิธีการชงดังนี้

  1. นำผงกาแฟใส่ในกระดาษกรองที่เตรียมไว้
  2. เทน้ำร้อนประมาณ 90-94 องศาเซลเซียสผ่านกาแฟ โดยเทเป็นวงกลมช้าๆ
  3. รอให้กาแฟหยดลงในภาชนะที่รองด้านล่าง จนเป็นกาแฟดริป 1 แก้ว

 

การชงกาแฟแบบดริปเย็น (Cold Drip)

 

5. การชงกาแฟแบบดริปเย็น (Cold Drip)

การชงกาแฟแบบดริปเย็น ไม่ได้ต่างจากการชงกาแฟแบบดริปปกติเท่าไร เพียงแค่เปลี่ยนจากการใช้น้ำร้อนมาเป็นน้ำเย็น แต่จะมีจุดเด่นตรงอุปกรณ์ชงกาแฟ ที่เสมือนหอคอย 3 ชั้น และให้รสชาติของกรดอ่อนกว่าการชงแบบอื่นๆ โดยมีวิธีการชงดังนี้

  1. นำเมล็ดกาแฟบดใส่ลงในโหลชั้นกลาง ที่มีตัวกรองรองอยู่ 
  2. เปิดวาล์วของโหลใส่น้ำชั้นบนสุด เพื่อให้น้ำหยดลงมาไหลผ่านผงกาแฟ
  3. น้ำจะไหลผ่านผงกาแฟลงไปยังโหลที่รองรับชั้นล่างสุด 

โดยขั้นตอนทั้งหมด จะใช้เวลาประมาณ 4-5 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำที่ใส่ไปด้วย

 

ชงกาแฟแบบสกัดเย็น (Cold Brew)

 

6. การชงกาแฟแบบสกัดเย็น (Cold Brew)

การชงกาแฟแบบสกัดเย็น ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน มีจำหน่ายแบบบรรจุขวดขาย และหาซื้อได้ง่ายมากขึ้น แต่ถ้าอยากทำเอง สามารถชงได้ตามวิธีดังนี้

  1. น้ำผงกาแฟที่เตรียมไว้แช่ลงในน้ำเย็นประมาณ 12-24 ชั่วโมง
  2. จากนั้นให้กรองกากกาแฟออก จนได้กาแฟพร้อมเสิร์ฟ

 

การชงกาแฟแบบเอสเพรสโซ (Espresso)

 

7. การชงกาแฟแบบเอสเพรสโซ (Espresso)

การชงกาแฟแบบเอสเพรสโซ เป็นวิธีการชงที่เห็นได้บ่อยตามร้านกาแฟ จุดเด่นคือการใช้แรงอัดไอน้ำในการสกัดกาแฟออกมา ซึ่งน้ำร้อนจะไหลผ่านกาแฟอย่างถั่วถึง ใช้น้ำและกาแฟน้อย แต่ทำให้ได้กาแฟที่รสชาติเข้มข้น หอมกรุ่นในเวลารวดเร็ว  โดยมีวิธีการชงดังนี้

  1. ใส่ผงกาแฟลงในพอร์ตาฟิลเตอร์ แล้วเกลี่ยให้รอบ
  2. ใช้ที่กดกาแฟกดผงกาแฟให้แน่น
  3. ใส่พอร์ตาฟิลเตอร์กับเครื่อง
  4. วางแก้วเพื่อรองกาแฟข้างล่าง
  5. จากนั้นเริ่มสกัดกาแฟ เพื่อให้ได้กาแฟหอมกรุ่นพร้อมเสิร์ฟ

 

การชงกาแฟแบบร็อค เอสเพรสโซ (Rok Espresso)

 

8. การชงกาแฟแบบร็อค เอสเพรสโซ (Rok Espresso)

การชงกาแฟแบบร็อค เอสเพรสโซ เป็นการใช้แรงดันจากการยกคันโยก เป็นวิธีการชงที่กำลังได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน ด้วยรูปลักษณ์เครื่องชงกาแฟที่ไม่เหมือนใคร และมีวิธีการใช้งานที่ไม่ซับซ้อน ผลลัพธ์ที่ได้คือกาแฟที่เข้มข้นและมีรสชาติเฉพาะตัว โดยมีวิธีการชงดังนี้

  1. ใส่ผงกาแฟลงไปในก้านชง
  2. ประกอบก้านชงเข้ากับตัวเครื่อง
  3. เติมน้ำร้อนลงไปในโถด้านบน
  4. ยกคันโยกขึ้นโดยใช้มือทั้งสองข้างจับคันโยก แล้วออกแรงกดลงช้าๆ จนสุด
  5. ทำขั้นตอนที่ 4 ซ้ำประมาณ 2-3 ครั้ง เพื่อให้ได้รสชาติกาแฟที่เข้มข้น

 

การชงกาแฟแบบแอโรเพรส (AeroPress)

 

9. การชงกาแฟแบบแอโรเพรส (AeroPress)

การชงกาแฟแบบแอโรเพรส เป็นวิธีการชงกาแฟที่เรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพ โดยใช้อุปกรณ์หลักเพียงสองชิ้น ทำให้ใช้งานง่าย สะดวก รวดเร็ว อีกทั้งยังได้รสชาติกาแฟที่กลมกล่อม พร้อมทั้งยังสามารถควบคุมความเข้มข้นได้ตามต้องการอีกด้วย โดยมีวิธีการชงดังนี้

  1. วางกระดาษกรองลงใน AeroPress จากนั้นให้ใส่ผงกาแฟลงไป
  2. เทน้ำร้อนลงใน AeroPress
  3. สวมที่กดลงไปในกระบอก AeroPress
  4. ค่อยๆ กดท่อลงช้าๆ เพื่อสร้างแรงดัน 
  5. จากนั้นน้ำร้อนจะถูกดันผ่านผงกาแฟและกระดาษกรอง จนได้กาแฟรสเข้มข้น รสชาติกลมกล่อม

 

การชงกาแฟแบบเฟรนช์เพรส (French Press)

 

10. การชงกาแฟแบบเฟรนช์เพรส (French Press)

การชงกาแฟแบบเฟรนช์เพรสเหมาะสำหรับคนที่ชอบกาแฟรสเข้มข้น และไม่กังวลกับการที่มีผงกาแฟหลงเหลือเล็กน้อยในแก้ว โดยวิธีนี้ จะทำให้ควบคุมเวลาในการแช่กาแฟได้ตามต้องการ ทำให้สามารถปรับความเข้มข้นของกาแฟได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งมีวิธีการชงดังนี้

  1. ใส่ผงกาแฟบดหยาบลงไปในกา จากนั้นให้เติมน้ำร้อน
  2. ปิดฝาให้เรียบร้อย แต่ยังไม่ต้องกดลูกสูบ
  3. ทิ้งไว้ก่อนประมาณ 4-5 นาที
  4. จากนั้นให้กดลูกสูบลงช้าๆ จนสุด

แรงกดจากลูกสูบจะสร้างแรงดันอากาศ แล้วตะแกรงจะกรองกากกาแฟไว้ด้านล่าง จากนั้นกาแฟจะถูกดันขึ้นด้านบนตะแกรง แค่นี้ก็จะได้กาแฟรสชาติเข้มข้นและมีเนื้อสัมผัสที่หนักแน่นอีกด้วย

 

การชงกาแฟแบบโมก้าพอท (Moka Pot)

 

11. การชงกาแฟแบบโมก้าพอท (Moka Pot)

การชงกาแฟแบบหม้อต้มหรือโมก้าพอท เป็นการชงกาแฟที่ได้รับความนิยมมาก โดยเฉพาะในร้านกาแฟสไตล์ Slow Bar เป็นวิธีการชงแบบดั้งเดิมที่สร้างประสบการณ์การดื่มกาแฟให้น่าสนใจยิ่งขึ้น นอกจากนี้การชงแบบนี้ยังช่วยสร้างบรรยากาศที่อบอุ่นและเป็นกันเองอีกด้วย โดยมีวิธีการชงดังนี้

  1. เติมน้ำลงในส่วนล่างจนถึงระดับที่กำหนด
  2. ใส่กรวยกรองพร้อมผงกาแฟที่บดแบบหยาบกลางๆ ลงไป
  3. จากนั้นให้ปิดฝาให้สนิท นำไปต้มบนเตา

ความร้อนทำให้เกิดแรงดันไอน้ำ แล้วน้ำร้อนจะถูกดันผ่านผงกาแฟ จากนั้นกาแฟที่สกัดแล้วจะไหลขึ้นสู่ส่วนบนของหม้อนั่นเอง เพียงเท่านี้ก็จะได้กาแฟรสชาติเข้มข้นคล้ายกันกับเอสเพรสโซ พร้อมมีกลิ่นหอมกรุ่นชวนดื่มอีกด้วย

 

การชงกาแฟแบบไนโตร (Nitro Cold Brew)

 

12. การชงกาแฟแบบไนโตร (Nitro Cold Brew)

การชงกาแฟแบบไนโตร คล้ายๆ กับการชงแบบ Cold Brew โดยจะใช้วิธีการสกัดในปริมาณมากๆ ซึ่งเป็นนวัตกรรมการชงกาแฟที่แปลกใหม่และน่าสนใจ เป็นการสร้างประสบการณ์การดื่มกาแฟที่ต่างกันออกไปจากวิธีอื่นอย่างชัดเจน โดยมีวิธีการชงดังนี้

  1. เตรียมกาแฟสกัดเย็น แล้วเติมกาแฟสกัดเย็นลงในถัง
  2. อัดแก๊สไนโตรเจนเข้าไปในกาแฟสกัดเย็น
  3. เขย่าถังเบาๆ เพื่อให้แก๊สผสมกับกาแฟได้ทั่วถึง
  4. ทำซ้ำหลายๆ ครั้งในระหว่างกระบวนการอัดแก๊ส 
  5. รินกาแฟลงในแก้วโดยเปิดก๊อกอย่างช้าๆ พร้อมเสิร์ฟ

การรินกาแฟมักนิยมรินจากก๊อกลงในแก้วโดยตรง ซึ่งการรินแบบนี้จะช่วยให้ได้กลิ่นหอมของกาแฟออกมาชัดเจน พร้อมทั้งสัมผัสกับฟองนุ่มละเอียด และรสชาติกาแฟที่เข้มข้นแต่นุ่มนวลอีกด้วย

 

การชงกาแฟแบบไซฟอน (Syphon)

 

13. การชงกาแฟแบบไซฟอน (Syphon)

การชงกาแฟแบบไซฟอนเป็นวิธีการชงกาแฟที่น่าตื่นตาตื่นใจ เพราะเป็นการชงที่คล้ายกับการทดลองทางวิทยาศาสตร์ โดยการชงแบบไซฟอน ไม่ได้ทำให้กาแฟมีรสชาติดีเท่านั้น แต่ยังสร้างความบันเทิงและความน่าสนใจในการชมอีกด้วย เหมาะสำหรับการสร้างประสบการณ์ที่พิเศษในร้านกาแฟ โดยมีวิธีการชงดังนี้

  1. จุดตะเกียงแอลกอฮอล์ใต้หม้อส่วนล่าง
  2. ความร้อนจะทำให้น้ำเดือด และถูกดันขึ้นไปยังหม้อข้างบน
  3. น้ำร้อนที่ถูกดันจะผสมกับกาแฟในหม้อข้างบน
  4. เมื่อได้เวลาในการสกัดกาแฟพอเหมาะ จากนั้นให้ดับไฟเพื่อทำให้เกิดสุญญากาศ
  5. กาแฟจะถูกดูดกลับลงมาผ่านตัวกรองสู่หม้อล่าง ได้เป็นกาแฟรสชาติกลมกล่อมและหอมกรุ่น 

 

การชงกาแฟแบบเคมแม็กซ์ (Chemex)

 

14. การชงกาแฟแบบเคมแม็กซ์ (Chemex)

การชงกาแฟแบบเคมเม็กซ์ เป็นวิธีที่คล้ายคลึงกับการชงแบบดริป เหมาะสำหรับคนที่ชอบดื่มกาแฟแบบเน้นคุณภาพ และประสบการณ์การดื่มกาแฟสุดพิเศษ โดยมีวิธีการชงดังนี้

  1. บดเมล็ดกาแฟ (ความละเอียดปานกลางค่อนข้างหยาบ)
  2. วางกระดาษกรองบนปากเหยือก Chemex
  3. ล้างกระดาษกรองด้วยน้ำร้อน จากนั้นให้เทน้ำทิ้ง
  4. ใส่ผงกาแฟลงในกระดาษกรอง
  5. เทน้ำร้อนอุณหภูมิประมาณ 92-96 องศาเซลเซียส ลงบนกาแฟในลักษณะวนเป็นวงกลม
  6. แบ่งชงเป็นรอบ โดยรอให้แต่ละรอบน้ำซึมผ่านหมดก่อน จึงค่อยเติมน้ำรอบต่อไป จนได้กาแฟรสชาติกลมกล่อม ไม่ขม ไม่เปรี้ยว กลิ่นหอมชัดเจน 

สรุป

วิธีการชงกาแฟมีด้วยกันหลากหลายวิธี โดยวิธีที่ได้รับความนิยม เช่น การชงกาแฟแบบโบราณ แบบตุรกี แบบเวียดนาม แบบดริป แบบดริปเย็น แบบสกัดเย็น แบบเอสเพรสโซ แบบเฟรนช์เพรส แบบโมก้าพอท แบบไนโตร แบบไซฟอน หรือแบบเคมแม็กซ์ ซึ่งแต่ละวิธีก็มีจุดโดดเด่นที่แตกต่างกันออกไป ทั้งเรื่องรสชาติ ความหอม หรือความสะดวกในการชง

เพื่อตอบโจทย์ทุกวิธีการชง เลือกเครื่องชงกาแฟ ของ Peaberry Thai ที่มาพร้อมกับคุณภาพ ผลิตจากวัสดุชั้นดี ทนทาน แข็งแรง ทั้งยังใช้งานง่าย ทำให้ทุกการชงกาแฟสะดวก รวดเร็ว ได้ดื่มกาแฟรสชาติดี กลมกล่อม และหอมกรุ่น

แชร์